(https://s.isanook.com/mn/0/ud/188/942808/way(4).jpg?ip/crop/w1200h700/q80/webp)
ราคาทองคำโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอ ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ พร้อมปัจจัยอื่น ๆ ที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ราคาทองคำขาขึ้นรับสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอ
ราคาทอง (https://www.shopsnughaven.com/2259/)คำในตลาดโลกยังคงมีทิศทางปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลข ตำแหน่งงานว่าง (JOLTS) ที่ต่ำกว่าคาดอย่างมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอตัวลง ทำให้ตลาด CME Group ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ถึง 95.6% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed บางคนก็เริ่มส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลาย โดยยอมรับว่าตลาดแรงงานและเงินเฟ้อกำลังชะลอตัว ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการลดดอกเบี้ยในไม่ช้า
ตลาดแรงงานและหนี้ครัวเรือนยังเป็นปัจจัยกดดัน
ผลสำรวจจาก Bank of America ยืนยันภาพความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยพบว่าแรงงานส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน มีถึง 85% ที่มีหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และมีถึง 26% ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินในปี 2568 ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี 2566 ที่มีเพียง 13% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอเกินกว่าที่ Fed จะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปได้
จับตาปัจจัยเสี่ยงจากตลาดบอนด์และกองทุนทองคำ
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด โดย Bloomberg รายงานว่าตลาดพันธบัตรทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ระยะยาวพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน นอกจากนี้ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ยังคงขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดขายออกไปอีก 6.3 ตัน ทำให้ปริมาณทองคำที่ถือครองเหลือเพียง 984.26 ตัน เท่านั้น
สรุป
ราคาทองคำโลกยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อจากปัจจัยหนุนหลักคือสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เพิ่มโอกาสให้ Fed ลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรและการขายทองคำของกองทุน SPDR ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน